เมื่อปี 67 มียอดขายรถหายไป 2 แสนคัน ความรุนแรงของสถานการณ์ในอุตสาหกรรมยานยนต์ได้แสดงผลอย่างชัดเจน บางธุรกิจได้รับผลกระทบหนัก และต้องเผชิญกับปัญหาและความท้าทายต่อไป
ผลกระทบต่อธุรกิจยานยนต์
ผลกระทบต่อธุรกิจตัวแทนจำหน่ายหรือดีลเลอร์รถยนต์
ดีลเลอร์รถยนต์ได้รับผลกระทบจากยอดขายรถยนต์ที่หดตัวรุนแรง 84% ของรายได้ของดีลเลอร์มาจากการขายรถยนต์ ส่วนรองลงมาเป็นการซ่อมบำรุงและรายได้อื่นๆ 12% และ 4% ตามลำดับ ส่วนต้นทุนของดีลเลอร์มี 15-20% เป็น Fixed Cost ที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามยอดขายรถยนต์ เช่นต้นทุนซื้ออะไหล่และวัสดุ ส่วนเดือนพนักงานหรือค่าเช่าสถานที่ ด้วยความลดของยอดขายรถยนต์ ดีลเลอร์ต้องเผชิญกับความท้าทายในการควบคุมต้นทุนเพื่อรักษาอัตรากำไร ส่วนดีลเลอร์ที่จำหน่ายรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบมากกว่าดีลเลอร์ของค่ายที่มีรถ xEV จำหน่ายอยู่ด้วย สะท้อนจากยอดจำหน่ายรถยนต์สะสมในช่วง 9M/2567 ดีลเลอร์ที่มีรถยนต์ไฮบริด (HEV) จำหน่ายลดลงอยู่ในกรอบ 16-17%YoY หดตัวน้อยกว่าเมื่อเทียบกับดีลเลอร์ที่ไม่มีรถยนต์ HEV จำหน่ายอย่างเห็นได้ชัด ส่วนค่ายรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) อย่าง BYD ทิ้งห่างคู่แข่ง ยอดขายเติบโตถึง 23.4%YoY ในช่วงเวลาเดียวกันผลกระทบต่อธุรกิจเช่าซื้อยานยนต์
เมื่อยอดขายรถยนต์ใหม่หดตัว 23%YoY มาที่ 0.6 ล้านคันในปีนี้ ยอดสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใหม่มีโอกาสหดตัวสูงถึง 10-15%YoY และยอดคงค้างเงินให้สินเชื่อแก่ลูกค้ารายย่อย (Outstanding) 66% อยู่ในกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใหม่ สินเชื่อรถยนต์ใช้แล้วและสินเชื่อจำนำทะเบียนมีสัดส่วน 22.1% และ 9.4% ดังนั้นยอดขายรถยนต์ใหม่ที่หดตัวมีโอกาสสร้างผลกระทบต่อเนื่องมายังการเติบโตของยอดสินเชื่อและรายได้ของผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจเช่าซื้อด้วยเช่นกัน สะท้อนจากรายได้ดอกเบี้ยรับจากสัญญาเช่าซื้อของกลุ่มผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 หดตัวเฉลี่ย 18.5%YoYผลกระทบต่อยอดผลิตรถยนต์
ยอดการผลิตรถยนต์ของไทยได้รับผลกระทบจากยอดขายในประเทศที่ติดลบรุนแรง Krungthai COMPASS ประเมินว่า ยอดการผลิตรถยนต์ไทยมีโอกาสหดตัวจาก 1.88 ล้านคันในปี 2565 มาที่ 1.83 ในปี 2566 และคาดว่าจะลดลงอีกครั้งมาอยู่ที่ 1.62-1.66 ล้านคัน ในปี 2567-68 ภาคการผลิตรถยนต์ของไทยต้องเผชิญกับความท้าทายจากสถานการณ์ตลาดรถยนต์ในประเทศที่ซบเซาจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่จำกัด และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจากการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าที่ทยอยเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และได้ชิงส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ที่ผลิตในไทย สะท้อนจากยอดจำหน่ายรถยนต์ BEV ในไทยที่ส่วนใหญ่นำเข้าจากจีนเริ่มมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 2% ของยอดจำหน่ายรถยนต์ทั้งหมดในปี 2565 ขึ้นมาอยู่ที่ 11.9% ในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ย. 2567ในระยะถัดไปยังต้องจับตา 1. ตลาดในประเทศที่มีแนวโน้มซึมยาวและการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น รวมถึง 2. พฤติกรรมของผู้บริโภคไทยที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ทั้งความนิยมรถยนต์ไฮบริดที่เพิ่มขึ้น และปัจจัยการตัดสินใจซื้อรถยนต์ที่มุ่งเน้นด้านคุณสมบัติ สมรรถนะและราคา มากกว่าคุณภาพ ภาพลักษณ์หรือแบรนด์บทวิเคราะห์โดยวีระยา ทองเสือกณิศ อ่ำสกุลKrungthai COMPASS