ในปี 2567 อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย ทั้งการหดตัวของยอดขายในประเทศ และการส่งออกที่คาดว่าจะลดลงถึง 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการลดลงของการส่งออกไปยังตลาดอาเซียน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 25% ของมูลค่าส่งออกรถยนต์ของไทย ในขณะที่ผู้เล่นรายใหญ่อย่างจีนและญี่ปุ่นกำลังขยายส่วนแบ่งตลาดในภูมิภาคนี้ความท้าทายที่อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยต้องเผชิญ
การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในตลาดอาเซียน
ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 พบว่า การส่งออกรถยนต์นั่งของไทยไปยังตลาดอาเซียนลดลงถึง 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การส่งออกรถเพื่อการพาณิชย์ก็ลดลง 3% เช่นกัน ทำให้ไทยต้องเสียตำแหน่งผู้นำการส่งออกรถยนต์นั่งไปยังภูมิภาคนี้ให้กับจีนและญี่ปุ่น โดยจีนคาดว่าจะขึ้นเป็นอันดับ 1 ในปีนี้ หลังจากสามารถเพิ่มการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ได้อย่างมาก ขณะที่ญี่ปุ่นก็ขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 2 จากการส่งออกรถยนต์ไฮบริด (HEV) ที่ได้รับแรงหนุนจากมาตรการส่งเสริมรถยนต์ลดมลพิษของรัฐบาลในภูมิภาค
ในขณะเดียวกัน อินโดนีเซียซึ่งปัจจุบันอยู่ในอันดับ 4 ก็มีแนวโน้มที่จะขยับเข้ามาใกล้ไทยมากขึ้น เนื่องจากมีการส่งออกรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามความต้องการรถยนต์ราคาประหยัดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง เช่น ฟิลิปปินส์และเวียดนาม
ความเสี่ยงด้านอุปทานและอุปสงค์
นอกจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในตลาดอาเซียนแล้ว อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงอื่นๆ ทั้งด้านอุปทานและอุปสงค์ ในด้านอุปทาน ปัญหาความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ อาจทำให้จีนยังคงต้องส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) มายังตลาดอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดเป้าหมายหลักของไทย ในขณะที่ญี่ปุ่นก็กำลังเผชิญการแข่งขันจาก BEV จีนในหลายตลาด จึงต้องกระจายการส่งออกรถยนต์ไฮบริดไปยังตลาดอื่นๆ มากขึ้น รวมถึงอาเซียน ซึ่งอาจส่งผลต่อโอกาสการลงทุนผลิตรถยนต์ไฮบริดในไทยเพื่อการส่งออก
ในด้านอุปสงค์ มาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดของตลาดศักยภาพอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ อาจหมดลงในปีหน้า ทำให้โอกาสการนำเข้ารถยนต์ประเภทนี้ของตลาดอาเซียนอาจไม่เร่งตัวเหมือนช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าเวียดนามและฟิลิปปินส์จะยังคงมาตรการส่งเสริมตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดต่อไปจนถึงปี 2570 และ 2571 ตามลำดับ นอกจากนี้ ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่ลงทุนผลิตในไทยก็มีการลงทุนเพิ่มเติมในอินโดนีเซียด้วย เพื่อรองรับตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้โอกาสการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าจากไทยไปยังอินโดนีเซียลดลง
แนวทางรับมือสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย
แม้ว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยจะเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นผู้นำการส่งออกรถยนต์นั่งไปยังตลาดอาเซียนอีกครั้ง หากสามารถเร่งการผลิตและส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดได้มากขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ในขณะเดียวกัน ก็ต้องติดตามสถานการณ์ความเสี่ยงด้านอุปทานและอุปสงค์อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์และเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต