ราคารถมือสองจะแพงขึ้น 10 - 15% ในปี 68 หลังรถมือสองสภาพดี, สภาพนางฟ้า หรือรถใช้งานน้อยเข้าสู่ตลาดกลางน้อยลง. นายสุธี สมาธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าตลาดรถยนต์ใช้แล้วปีนี้ทรงตัวต่อเนื่องจากปี 2566 โดยราคารถเริ่มขยับขึ้นตั้งแต่ต้นปี หลังจากราคาปรับลดสูงสุดถึง 30% ในช่วงครึ่งหลังของปีที่ผ่านมา. แม้ปริมาณรถเข้าลานประมูลจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปี แต่ผู้ประกอบการยังได้รับผลกระทบจากหนี้เสีย (NPL) ที่ทรงตัวในระดับสูง.
สำหรับแนวโน้มปี 2568 ในปีหน้า AUCT คาดการณ์ว่าจะมีรถยนต์ใช้แล้วเข้าสู่ลานประมูลราว 2.5 แสนคัน ซึ่งเป็นผลจากหลายปัจจัย เช่น NPL ที่ยังทรงตัว, หนี้ครัวเรือนที่สูง และการเติบโตของสินเชื่อจำนำทะเบียน โดยราคารถยนต์ใช้แล้วน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 10 - 15%.
ภาพรวมตลาดรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถ EV ใช้แล้วยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยปี 2566 มีรถเข้าสู่การประมูลเพียง 40 คัน และคาดว่าในปี 2567 จะเพิ่มขึ้นเป็นราว 100 คัน แม้จะเติบโตแต่ยังนับว่าน้อยเมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาป.
การปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใช้แล้วคาดว่าจะหดตัวลงราว 5.5% - 6% ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง หลังจากในปี 2566 มีการหดตัว 4% จากปี 2565 สำหรับสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน แม้ยังคงเติบโต แต่พบว่าอัตราการเติบโตชะลอลงมาอยู่ที่ 17% ในปี 2567 เมื่อเทียบกับอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 35% ในช่วงปี 2565 - 2566.
การแข่งขันด้านราคาของรถยนต์ใหม่ที่รุนแรงยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดรถยนต์ใช้แล้ว ทำให้ต้นทุนการขายและราคาตลาดลดลงในบางกลุ่ม อย่างไรก็ตาม รถยนต์ที่มีคุณภาพดีหรือใช้งานน้อยยังคงได้รับความสนใจจากผู้บริโภค เนื่องจากมีความคุ้มค่ากว่าการซื้อรถใหม่.
ในอนาคตการปรับตัวของผู้ประกอบการจะมีความสำคัญในช่วงเวลานี้ โดยการพัฒนากลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค เช่น การเพิ่มช่องทางการขายออนไลน์, การจัดโปรโมชั่นเฉพาะกลุ่ม และการเน้นให้ข้อมูลความคุ้มค่าของรถยนต์ใช้แล้ว เพื่อดึงดูดใจผู้บริโภคในสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย.
เทคโนโลยีออนไลน์มีบทบาทสำคัญในพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ โดยการค้นหา, เปรียบเทียบราคา และข้อมูลต่าง ๆ สามารถทำได้สะดวกมากขึ้นผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องปรับตัว ด้วยการพัฒนากลยุทธ์ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว.
พัฒนาการตลาดออนไลน์: สร้างแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถค้นหา, เปรียบเทียบ และซื้อขายรถยนต์ได้อย่างสะดวก.
ยกระดับคุณภาพและความเชื่อมั่น: จัดให้มีระบบตรวจสอบคุณภาพรถยนต์ พร้อมการรับประกันที่น่าเชื่อถือ.
เพิ่มบริการเสริมและสร้างความพึงพอใจ: เช่น การให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน, การเสนอโปรโมชั่นที่ดึงดูด และบริการหลังการขายที่ดี.