ปลั๊กอินไฮบริด: ความหวังที่ยังไม่เป็นจริง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle หรือ PHEV) ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นทางเลือกที่ผสมผสานระหว่างรถยนต์สันดาปและรถยนต์ไฟฟ้า โดยสัญญาว่าจะให้ประสิทธิภาพและความคุ้มค่าที่ดีกว่า แต่ในความเป็นจริง ยอดขายของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดกลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง และมีแนวโน้มที่จะยิ่งลดลงในอนาคต

ความหวังที่ยังไม่เป็นจริง

ยอดขายที่ย่ำแย่

ในช่วงปี 2023 จนถึงปัจจุบัน ยอดขายรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดมีเพียง 1.9% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมด ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีส่วนแบ่งทางการตลาด 9.4% และรถยนต์ไฮบริดแบบดั้งเดิมที่มีส่วนแบ่ง 10.7% ผู้เชี่ยวชาญมองว่าสาเหตุหลักมาจากการที่ผู้บริโภครู้สึกว่ารถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดไม่ได้ให้ความคุ้มค่ามากพอเมื่อเทียบกับรถยนต์ประเภทอื่น

ราคาที่สูงเกินไป

จากการวิเคราะห์พบว่า ราคาซื้อขายรถยนต์ PHEV ในกลุ่ม SUV ขนาดกะทัดรัด เฉลี่ยประมาณ 1,631,450 บาท ซึ่งแพงกว่าราคาซื้อขายรถยนต์ EV ในกลุ่มเดียวกันที่เฉลี่ยประมาณ 1,235,043 บาท ถึง 396,407 บาท หรือประมาณ 400,000 บาท ผู้บริโภคจำนวนมากจึงรู้สึกว่าราคาของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดสูงเกินไปเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพและความคุ้มค่าที่ได้รับ

ความพึงพอใจที่ต่ำ

จากการสำรวจความพึงพอใจของผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา พบว่า ความพึงพอใจโดยรวมต่อรถยนต์ PHEV มีเพียง 669 คะแนน จากคะแนนเต็ม 1,000 คะแนน ซึ่งต่ำกว่าความพึงพอใจต่อรถยนต์ EV ที่ได้รับ 716 คะแนน และรถยนต์ EV ระดับพรีเมียมที่ได้รับ 738 คะแนน ผู้บริโภคจำนวนมากรู้สึกว่ารถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดไม่ได้ให้ความคุ้มค่าที่คาดหวังไว้

ความยุ่งยากในการใช้งาน

นอกจากราคาที่สูงแล้ว ผู้บริโภคยังรู้สึกว่ารถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดมีความยุ่งยากในการใช้งานมากกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ราบรื่นและสะดวกสบายมากกว่า

อนาคตที่ไม่สดใส

จากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมา จึงไม่น่าแปลกใจที่ยอดขายรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดจะยังคงมีแนวโน้มที่จะลดลงในอนาคต ผู้ผลิตจะต้องเผชิญกับความท้าทายในการโน้มน้าวจิตใจผู้บริโภคให้ยอมจ่ายในราคาที่สูงลิ่วเพื่อครอบครองรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ในขณะที่ผู้บริโภคจำนวนมากกลับหันไปเลือกใช้รถยนต์ไฮบริดแบบดั้งเดิมแทน