นิสสัน ผู้นำด้านเทคโนโลยีขับเคลื่อนยานยนต์ในอนาคต ได้ประกาศความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจ โดยเปิดเผยว่า ยอดการผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ e-POWER ทั่วโลกมีจำนวนมากกว่า 1.5 ล้านคัน ณ สิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่ยุคแห่งความยั่งยืน

เทคโนโลยีขับเคลื่อนอนาคตที่ทำให้ขับขี่ง่ายและสนุกยิ่งขึ้น

ก้าวสำคัญสู่ยอดผลิต 1.5 ล้านคัน

นิสสันเปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ยอดการผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ e-POWER ทั่วโลกมีจำนวนมากกว่า 1.5 ล้านคัน นับเป็นความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจ โดยปัจจุบันรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ e-POWER มีจำหน่ายใน 68 ตลาดทั่วโลก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความนิยมและการยอมรับของเทคโนโลยีนี้ในตลาดโลก

เปิดตัวครั้งแรกในญี่ปุ่น และขยายสู่ตลาดโลก

นิสสันเปิดตัวเทคโนโลยี e-POWER เป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อปี 2016 ด้วย Note e-POWER และต่อมาได้ขยายไปยังรถยนต์อเนกประสงค์อย่าง Kicks และ X-Trail รวมถึงมินิแวนอย่าง Serena ในปีงบประมาณ 2023 ซึ่งในปีงบประมาณ 2023 รถยนต์นิสสันที่จำหน่ายในญี่ปุ่น 42.6% เป็นรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ e-POWER นอกจากนี้ ในตลาดจีน e-POWER ถูกวางจำหน่ายในปี 2021 พร้อมกับรถเก๋ง Sylphy e-POWER และตอนนี้ยังขยายไปสู๋รถ SUV X-Trail รุ่นล่าสุดอีกด้วย ส่วนในยุโรป รถ SUV รุ่น X-Trail และ Qashqai เวอร์ชันเครื่องยนต์ e-POWER ถูกวางจำหน่ายในปี 2022 โดยมียอดขายรวมมากกว่า 100,000 คัน ณ เดือนมกราคมที่ผ่านมา นิสสันวางแผนที่จะเปิดตัว e-POWER ในสหรัฐอเมริกา และแคนาดา ภายในสิ้นปีงบประมาณ 2026 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของนิสสันในการขยายตลาดและเผยแพร่เทคโนโลยีนี้ไปทั่วโลก

เทคโนโลยี e-POWER: ประสบการณ์การขับขี่ที่ไร้ที่ติ

e-POWER เป็นเทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของนิสสัน ใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาดเล็ก และแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนเพื่อจ่ายกระแสไฟให้กับมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวจะทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ ส่งผลให้ผู้ขับขี่ได้รับประสบการณ์เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า 100% โดดเด่นด้วยอัตราเร่งที่เต็มไปด้วยพละกำลัง ตอบสนองอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันยังคงเงียบในห้องโดยสาร ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเพลิดเพลินกับการขับขี่ที่สนุกสนานและสะดวกสบายยิ่งขึ้น

ก้าวต่อไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน

นิสสันจะยังคงพัฒนาความน่าสนใจ และความสามารถในการแข่งขันของเทคโนโลยี e-POWER ต่อไป เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าทั่วโลก โดยมีเป้าหมายที่จะขยายตลาดและเผยแพร่เทคโนโลยีนี้ไปยังประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสกับประสบการณ์การขับขี่ที่ไร้ที่ติ และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่ยุคแห่งความยั่งยืน