ภายในปีแรกของการดำเนินงาน ศูนย์วิจัยอาหารแมว i-Cattery ได้รับการรับรองจาก AAALAC International (Association for Assessment and Accreditation of Laboratory Animal Care) ซึ่งเป็นรางวัลที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการรักษามาตรฐานสูงสุดด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ควบคู่ไปกับหลักสวัสดิภาพสัตว์ กระบวนการรับรองนี้เริ่มจากการทบทวนและประเมินการทำงานภายในองค์กร โดยต้องจัดทำชุดข้อมูลและเอกสารครอบคลุมทุกด้านของการดูแลสวัสดิภาพสัตว์ จากนั้นผู้เชี่ยวชาญจาก AAALAC จะเข้ามาประเมินการทำงานในสถานที่จริง เพื่อพิจารณาการรับรอง ซึ่งสถาบันจะต้องถูกประเมินซ้ำอย่างต่อเนื่องในทุก 3 ปี เพื่อรักษาสถานะดังกล่าวไว้
ศูนย์วิจัยอาหารแมว i-Cattery ให้ความสำคัญต่อการกำกับดูแลกระบวนการทำงานทางวิทยาศาสตร์ โดยมีการฝึกอบรมและให้ความรู้แก่พนักงานเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่ดีตามมาตรฐาน AAALAC International และยึดมั่นในความโปร่งใสและการพัฒนาการทำงานเพื่อคงไว้ซึ่งความเป็นเลิศในด้านสวัสดิภาพสัตว์และหลักปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์ตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้ ยังมีระบบอนามัยเข้มเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มีการควบคุมอุณหภูมิ การถ่ายเทอากาศ และความชื้นตามมาตรฐานการเลี้ยงสัตว์ รวมถึงขั้นตอนการตรวจคัดกรองโรคและการกักตัวสำหรับแมวตัวใหม่ก่อนเข้าศูนย์วิจัย
ศูนย์วิจัยอาหารแมว i-Cattery มีแมวจำนวน 50 ตัว ประกอบด้วยสายพันธุ์ต่างๆ ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ทดสอบรสชาติอาหาร โดยจะเริ่มรับแมวตั้งแต่อายุ 3 เดือน และจะเริ่มรีไทร์เมื่ออายุประมาณ 6 ปี การทดสอบรวมถึง Food Acceptability, Food Palatability, Stool Quality Analysis และ Academic Research ซึ่งตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2566 ถึงไตรมาส 2 ปี 2567 มีแมวได้รับการทดสอบกว่า 288 ครั้ง
ด้วยความสำเร็จของ i-Cattery ส่งผลให้ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงของไอ-เทลมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มรายได้เติบโต 18-19% จากปีก่อน โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ไอ-เทลมีรายได้จากยอดขายรวม 8,596 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% และมีกำไรสุทธิ 1,831 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 110% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยบวกสำคัญคือการฟื้นตัวของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลก และการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
ไอ-เทลมีแผนเจาะกลุ่มตลาดใหม่ในประเทศที่มีกลุ่มลูกค้า High Margin เช่น อิตาลีและฝรั่งเศส รวมถึงขยายการส่งออกผลิตภัณฑ์ OEM ไปยังประเทศกลุ่มยุโรป เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง และเอเชีย ขณะเดียวกันก็มีแผนขยายแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงของตัวเองในประเทศไทยอีกประมาณ 2-3 แบรนด์ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง