ไทยเผชิญความท้าทายในการรักษาตำแหน่งผู้นำส่งออกรถยนต์นั่งไปอาเซียน

Oct 25, 2024 at 4:17 AM
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ปี 2567 จะเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย เนื่องจากยอดขายรถยนต์ในประเทศที่หดตัวแรง รวมถึงยอดส่งออกรถยนต์ของไทยที่คาดว่าจะลดลงถึง 6% เหลือเพียง 1.05 ล้านคัน จาก 1.11 ล้านคันในปี 2566 โดยหนึ่งในสาเหตุสำคัญมาจากการส่งออกไปตลาดหลักอย่างอาเซียนที่ลดลงมาก

ไทยเสี่ยงสูญเสียตำแหน่งผู้นำส่งออกรถยนต์นั่งไปอาเซียน

การส่งออกรถยนต์นั่งไทยไปอาเซียนอาจเสียแชมป์ให้จีนและญี่ปุ่น

แม้ว่าตั้งแต่ปี 2560 ไทยจะครองตำแหน่งแชมป์ส่งออกรถยนต์นั่งไปอาเซียนมาโดยตลอด แต่หลังผ่าน 7 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-ก.ค.) กลับพบว่าจีนและญี่ปุ่นขยับส่วนแบ่งขึ้นนำไทยได้เป็นครั้งแรก โดยจีนคาดว่าจะขึ้นอันดับ 1 แทนที่ไทยในตลาดอาเซียนปีนี้ หลังสามารถส่งออกรถยนต์นั่ง BEV ได้เพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ญี่ปุ่นขยับขึ้นอันดับ 2 นำโดยการส่งออกรถยนต์นั่งไฮบริด (HEV) อาศัยปัจจัยหนุนสำคัญจากมาตรการส่งเสริมรถยนต์ลดมลพิษของรัฐบาลแต่ละประเทศ ส่งผลกดดันให้ไทยตกลงมาอยู่อันดับ 3 เนื่องจากไทยเพิ่งเริ่มผลิต BEV และแม้จะมีการผลิตรถยนต์นั่งไฮบริดแล้ว แต่ที่ผลิตได้ก็เน้นรองรับตลาดในประเทศที่กำลังเติบโตขึ้นก่อน

อินโดนีเซียมีแนวโน้มแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากไทย

ขณะที่อินโดนีเซีย แม้ปัจจุบันอยู่ในอันดับ 4 แต่พบการส่งออกรถยนต์นั่งขนาดเล็กใช้น้ำมันล้วน (ICE) ที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ส่วนแบ่งขยับเข้าใกล้ไทยมากขึ้น หลังความต้องการรถยนต์นั่งขนาดเล็ก หรือรถอเนกประสงค์ราคาประหยัด เพิ่มขึ้นมากในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ประชากรรายได้ยังไม่สูงนัก เช่น ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งอาจส่งผลให้ไทยต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดอาเซียน

ความท้าทายในการกลับสู่ตำแหน่งผู้นำส่งออกรถยนต์นั่งไปอาเซียน

ในระยะข้างหน้า การส่งออกรถยนต์นั่ง BEV และไฮบริด อาจเร่งขึ้นมาช่วยชดเชยได้ หลังไทยมีแนวโน้มผลิตรถยนต์นั่ง BEV และไฮบริด ในประเทศได้มากขึ้น จากการสนับสนุนของภาครัฐ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอีกหลายด้าน ที่การส่งออกรถยนต์นั่งไทยอาจต้องเผชิญในอนาคต ได้แก่ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ที่อาจกดดันให้จีนยังคงต้องส่งออก BEV มายังตลาดอาเซียน รวมถึงการที่ญี่ปุ่นต้องกระจายการส่งออกไฮบริดไปยังหลายตลาดมากขึ้น เพื่อรักษาปริมาณการผลิตรถยนต์ในประเทศ ทำให้โอกาสการลงทุนผลิตรถยนต์นั่งไฮบริดในไทยปริมาณมากเพื่อการส่งออกในอนาคตยังมีความไม่แน่นอน นอกจากนี้ มาตรการส่งเสริมรถยนต์นั่ง BEV และไฮบริด ของตลาดศักยภาพอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ที่อาจหมดในสิ้นปีหน้า ก็อาจส่งผลให้โอกาสนำเข้า BEV และไฮบริด ของตลาดอาเซียนไม่เร่งตัวมากเหมือนช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการที่ค่ายรถ BEV ที่ลงทุนผลิตในไทย มีการลงทุนผลิตเพิ่มในอินโดนีเซียด้วย ทำให้โอกาสส่งออก BEV จากไทยไปอีกตลาดศักยภาพอย่างอินโดนีเซียลดน้อยลงดังนั้น การที่ไทยจะกลับสู่ตำแหน่งผู้นำส่งออกรถยนต์นั่งไปอาเซียนอีกครั้ง จะต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งในเรื่องของการแข่งขันจากคู่แข่งที่แข็งแกร่งขึ้น รวมถึงความเสี่ยงทั้งด้านอุปทานและอุปสงค์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกรถยนต์นั่งของไทยในอนาคต ซึ่งจะต้องมีการปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดอาเซียนให้ได้