เปิดมิติใหม่ของการขับขี่ด้วยเทคโนโลยีโฮโลแกรมจาก Hyundai

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว อุตสาหกรรมยานยนต์ก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านการแสดงผลและการควบคุมภายในรถยนต์ ล่าสุด Hyundai Mobis ผู้จัดจำหน่ายเทคโนโลยีและชิ้นส่วนของ Hyundai ได้ร่วมมือกับ Zeiss ผู้นำอุตสาหกรรมเลนส์และแว่นตาจากเยอรมัน พัฒนา "จอแสดงผลที่กระจกหน้ารถด้วยโฮโลแกรม" ที่จะเปลี่ยนกระจกหน้ารถให้เป็นจอแสดงผลเต็มหน้าจอ

เทคโนโลยีโฮโลแกรมจะเปลี่ยนแปลงประสบการณ์การขับขี่ในอนาคต

ก้าวล้ำไปกว่าจอ HUD ด้วยฟีเจอร์ที่หลากหลาย

เทคโนโลยีใหม่นี้ต่อยอดจากจอ HUD ที่มีมาตั้งแต่ปี 1980 ซึ่งปัจจุบันแสดงข้อมูลเบื้องต้น เช่น ความเร็ว การนำทาง แต่ระบบโฮโลแกรมใหม่ของ Hyundai นี้จะรองรับฟีเจอร์มากกว่าเดิม เช่น การเลือกเมนูระบบความบันเทิง การควบคุมเสียง วิดีโอ และเกมได้ทั้งคนขับและคนนั่ง ทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสามารถเพลิดเพลินกับความบันเทิงได้ในขณะเดียวกัน

ออกแบบให้ไม่รบกวนการมองเห็นระหว่างขับขี่

ระบบนี้ใช้ฟิล์มใสบางพิเศษติดตั้งบนกระจกหน้ารถ ร่วมกับโปรเจ็กเตอร์ที่ฉายภาพนิ่ง และวิดีโอ ออกแบบให้ไม่รบกวนการมองเห็นระหว่างขับขี่ ทั้งคนขับและผู้โดยสารจะเห็นภาพกราฟฟิคที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังช่วยลดความซับซ้อนภายในรถ ไม่ต้องมีแดชบอร์ดขนาดใหญ่ ทำให้มุมมองโล่งขึ้น ดีไซน์ภายในได้สวยงามขึ้น

การควบคุมด้วยคำสั่งเสียงและท่าทาง

วิธีการควบคุมของโฮโลแกรมยังไม่แน่ชัด แต่คาดว่าคำสั่งเสียง และคำสั่งด้วยท่าทางน่าจะเป็นตัวเลือกหลัก โดยแบรนด์ BMW เองก็กำลังพัฒนาจอแสดงผลที่คล้ายกันนี้ และจะเน้นการใช้คำสั่งเสียงในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถโฟกัสที่ถนนได้ดีขึ้น และลดความเหนื่อยล้าจากการใช้หน้าจอสัมผัส

ก้าวสู่อนาคตของรถยนต์ที่ไร้จอสัมผัส

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หน้าจอสัมผัสได้กลายเป็นสิ่งที่โดดเด่นในรถยนต์ เนื่องจากมันสามารถประหยัดต้นทุน สามารถใช้งานได้อย่างประสิทธิภาพในการจัดการเกี่ยวกับตัวรถและระบบความบันเทิง อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาจํานวนมากระบุว่าการพึ่งพาหน้าจอกลางสําหรับการควบคุมจํานวนมากไม่ใช่ตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุดเสมอไป และความเหนื่อยล้าจากการใช้หน้าจอเป็นปัญหาที่แพร่หลายมากขึ้น ดังนั้น เทคโนโลยีโฮโลแกรมของ Hyundai จึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับอนาคตของรถยนต์ที่ไร้จอสัมผัส

ก้าวสู่ตลาดในปี 2027

Hyundai Mobis และ Zeiss วางแผนจะเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่นี้สู่ตลาดในปี 2027 โดยตอนนี้ได้มีต้นแบบที่พัฒนาอยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถโฟกัสที่ถนนได้ดีขึ้น และลดความเหนื่อยล้าจากการใช้หน้าจอสัมผัส ทั้งนี้ ยังคงต้องมีการศึกษาและพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้ระบบนี้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด