รัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของออสเตรเลียกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทายหลังจากการประกาศนโยบายใหม่โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกา โดยมีการเสนอเก็บภาษีสูงถึง 100% สำหรับภาพยนตร์ที่ผลิตในต่างประเทศ การดำเนินการนี้อาจกระทบต่อแผนการพัฒนาโกลด์โคสต์ให้กลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับโลกภายในเวลา 30 ปี อีกทั้งยังทำให้รัฐบาลออสเตรเลียต้องออกมายืนหยัดเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในท้องถิ่นผ่านมาตรการทางภาษีและการสนับสนุนอื่น ๆ
ตามคำแถลงของเพนนี หว่อง รัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรเลีย รัฐบาลได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในการคัดค้านมาตรการภาษีดังกล่าว และจะแจ้งไปยังฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ เพื่อขอให้มีการพิจารณาใหม่ นอกจากนี้ โทนี เบิร์ก รัฐมนตรีที่ดูแลงานด้านศิลปะ ก็ยืนยันว่าออสเตรเลียมีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศ ซึ่งรวมถึงการมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับโปรเจกต์ภาพยนตร์ขนาดใหญ่ที่มาถ่ายทำในออสเตรเลีย
ปัจจุบัน ออสเตรเลียมีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์อย่างเต็มที่ เช่น การลดหย่อนภาษี 30% สำหรับโปรเจกต์ภาพยนตร์และโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่เข้ามาถ่ายทำในประเทศ รวมถึงการสนับสนุนงานโพสต์โปรดักชันและวิชวลเอฟเฟกต์ ในขณะเดียวกัน แต่ละรัฐก็มีมาตรการจูงใจเพิ่มเติมเพื่อดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลก
แมทธิว ดีเนอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารขององค์กร Screen Producers Australia ระบุว่า มาตรการภาษีดังกล่าวจะสร้างผลกระทบที่กว้างขวางไปทั่วโลก ส่วนเอลเลียต วีลเลอร์ นักประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์จากเมืองโกลด์โคสต์ แสดงความเห็นว่า การเก็บภาษีนี้ไม่เพียงแต่จะเพิ่มต้นทุนการผลิตในสหรัฐฯ แต่ยังไม่ได้สร้างประโยชน์ใด ๆ ให้แก่ทั้งสองฝ่าย
สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างประเทศเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยออสเตรเลียพร้อมที่จะปกป้องและพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในท้องถิ่นผ่านมาตรการที่เหมาะสม และหวังว่าจะสามารถหาทางออกที่เป็นประโยชน์ร่วมกันกับสหรัฐอเมริกา