เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างนายสมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ และผู้ขับรถกระบะสูงอายุบนทางมอเตอร์เวย์ ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการกฎหมาย โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการยึดรถยนต์ BMW จากพฤติกรรมการขับขี่ที่ไม่เหมาะสม ทนายแก้ว มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล ให้คำแนะนำและวิเคราะห์ว่า การกระทำของนายสมิทธิพัฒน์อาจเข้าข่ายความผิดหลายประการ เช่น การขับรถประมาท การไม่หยุดให้ความช่วยเหลือ และอาจนำไปสู่การยึดรถยนต์ตามคำพิพากษาศาลฎีกา
นอกจากนี้ ประเด็นสำคัญคือการใช้รถยนต์เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด หากพบว่ารถมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง ศาลสามารถตัดสินให้ยึดรถได้ ซึ่งคำพิพากษาดังกล่าวจะกลายเป็นแนวทางสำคัญสำหรับกรณีที่คล้ายคลึงกันในอนาคต
จากการตรวจสอบพฤติกรรมของนายสมิทธิพัฒน์ มีหลักฐานชัดเจนว่าเขาละเมิดกฎหมายหลายครั้งในเหตุการณ์ดังกล่าว โดยเฉพาะการขับรถหวาดเสียวและการไม่หยุดให้ความช่วยเหลือ ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจร มาตรา 43(8) นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องเจตนาที่อาจนำไปสู่การตั้งข้อหาเพิ่มเติม เช่น เจตนาทำร้ายร่างกาย
รายละเอียดของการประเมินทางกฎหมายแบ่งออกเป็น 4 ส่วนสำคัญ เริ่มจากการประเมินความประมาทในช่วงแรกของการชนแบริเออร์ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนเลนของรถกระบะ ต่อมาเป็นการขับรถหวาดเสียวที่ถือว่าผิดอย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีการประเมินเจตนาในการใช้รถไปกระทบจนเกิดบาดเจ็บสาหัส ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อหาเจตนาทำร้าย นอกจากนี้ยังมีประเด็นเกี่ยวกับการหลบหนีหลังเกิดเหตุ ซึ่งถือเป็นความผิดตามกฎหมายจราจรที่ชัดเจน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4730/64 วางกรอบทางกฎหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการยึดรถยนต์ในกรณีที่มีการใช้รถเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด โดยเฉพาะการขับรถหวาดเสียวที่อาจนำไปสู่ความเสียหายหรือบาดเจ็บต่อบุคคลอื่น ประเด็นนี้ได้รับการสนับสนุนจากอธิบดีอัยการที่เคยเสนอให้มีการยึดรถในกรณีที่คล้ายคลึงกัน
แนวปฏิบัติที่ศาลฎีกาวางไว้นั้นมีผลสำคัญต่อการดำเนินคดีในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่รถมีบทบาทโดยตรงในการกระทำความผิด คำพิพากษานี้ไม่เพียงแต่กำหนดมาตรฐานใหม่ในการพิจารณาคดีเท่านั้น แต่ยังช่วยลดพฤติกรรมการขับรถประมาทและความเสี่ยงต่อสาธารณะ ซึ่งหากมีการยึดรถจริง จะเป็นการลงโทษที่มีน้ำหนักและสะท้อนถึงความรับผิดชอบของผู้กระทำผิด นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความเข้มงวดของระบบกฎหมายไทยในการปกป้องความปลอดภัยบนท้องถนน