รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ในอัตรา 25% โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายน การดำเนินการครั้งนี้ได้สร้างผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นประเด็นสำคัญที่อาจทำให้สงครามการค้าระหว่างประเทศขยายตัว นอกจากนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ยังมองว่า มาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่หลายฝ่ายเตือนว่าอาจนำไปสู่ปัญหาราคาสินค้าเพิ่มขึ้นและการลดลงของตลาดรถยนต์ในสหรัฐฯ
การประกาศภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ในอัตรา 25% ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก หลายประเทศที่เป็นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ เช่น เม็กซิโก เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น จะเผชิญกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและความตึงเครียดทางการค้า
มาตรการดังกล่าวอาจส่งผลให้ราคาสินค้าในตลาดสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะราคารถยนต์ที่นำเข้าจากประเทศต่าง ๆ อาจพุ่งขึ้นหลายพันดอลลาร์ นอกจากนี้ โรงงานผลิตรถยนต์บางแห่งในสหรัฐฯ อาจต้องหยุดการผลิตชั่วคราว เนื่องจากการปรับเปลี่ยนระบบการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ ขณะเดียวกันบริษัทรถยนต์ในสหรัฐฯ เช่น General Motors (GM) และ Ford ก็ประสบภาวะหุ้นตกต่ำหลังจากนโยบายใหม่ประกาศออกมา ความไม่แน่นอนเหล่านี้ยังส่งผลกระทบต่อหุ้นของบริษัทยานยนต์ระดับโลก เช่น Toyota, Nissan และ Honda ที่ปรับตัวลดลงในตลาดหุ้นโตเกียว
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันว่า มาตรการภาษีใหม่จะเป็นแรงผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในสหรัฐฯ มีการขยายตัวอย่างมหาศาล อีกทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างงานและการลงทุนภายในประเทศ
นโยบายนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่เน้นสนับสนุนภาคการผลิตในสหรัฐฯ โดยหวังว่าจะดึงดูดบริษัทรถยนต์ทั่วโลกรวมถึงบริษัทในประเทศให้ลงทุนในการสร้างโรงงานผลิตภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงในหมู่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่เห็นว่า การเพิ่มภาษีอาจส่งผลเสียต่อการแข่งขันในตลาดโลกและเพิ่มต้นทุนให้กับบริษัทที่ต้องพึ่งพาชิ้นส่วนจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังอาจเกิดผลกระทบที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับพันธมิตรหลัก เช่น แคนาดา เม็กซิโก และญี่ปุ่น