ในค่ำวันที่ 2 เมษายน ภาพยนตร์เรื่อง “Tunnels: Sun in the Dark” ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ศูนย์ภาพยนตร์แห่งชาติในกรุงฮานอย โดยภาพยนตร์ดังกล่าวสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของการรวมประเทศ (30 เมษายน 1975 – 30 เมษายน 2025) และนำเสนอเรื่องราวของชาวนาผู้กล้าหาญในเมืองกู๋จีที่ใช้อุโมงค์เป็นที่หลบภัยในการสู้รบกับกองทัพสหรัฐฯ ในปี 1967 เรื่องราวนี้นำโดยผู้กำกับ Bui Thac Chuyen และทีมนักแสดงชั้นนำ เช่น Thai Hoa, Cao Minh, และ Ho Thu Anh พร้อมการสนับสนุนจาก Nguyen Thanh Nam อดีตซีอีโอของ FPT การผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้งบประมาณส่วนตัวมากกว่า 50,000 ล้านดอง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกสำหรับภาพยนตร์สงครามปฏิวัติของเวียดนาม
ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่กรุงฮานอย เมื่อวันที่ 2 เมษายน ภาพยนตร์เรื่อง "Tunnels: Sun in the Dark" ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการที่ศูนย์ภาพยนตร์แห่งชาติ การฉายรอบปฐมทัศน์เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวังจากผู้ชม ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องราวของเบย์ ธีโอ ผู้นำกองโจร 21 นายที่ต่อสู้เพื่อปกป้องกลุ่มข่าวกรองเชิงยุทธศาสตร์ในเมืองกู๋จี ซึ่งเป็นสถานที่ที่เคยเผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างต่อเนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในปี 1967 ผู้กำกับ Bui Thac Chuyen ใช้เวลา 11 ปีในการวางแผนและสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยได้แรงบันดาลใจจากอุโมงค์กู๋จีที่อยู่ห่างจากไซง่อนเพียง 30-35 กิโลเมตร อุโมงค์เหล่านี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและการต่อสู้ของประชาชนเวียดนาม
นอกจากนี้ Nguyen Thanh Nam อดีตซีอีโอของ FPT ยังได้ให้การสนับสนุนทางการเงินอย่างมหาศาล ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถสร้างขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาเงินงบประมาณแผ่นดิน ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำชมเชยอย่างล้นหลามจากผู้ชมและผู้เชี่ยวชาญในวงการภาพยนตร์ โดยเฉพาะการแสดงของนักแสดงที่สมจริงและดนตรีประกอบของ Clovis Schneider ที่ช่วยเสริมบรรยากาศแห่งความตื่นเต้นและความเข้มข้นของสงคราม
ภายในเวลาไม่กี่วันหลังจากการเปิดตัว Box Office Vietnam รายงานว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ถึง 11.1 พันล้านดอง และคาดว่าจะทะลุ 100 พันล้านดองก่อนวันครบรอบ 30 เมษายน
ผู้กำกับและนักแสดงหลายคนต่างให้ความเห็นว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเล่าประวัติศาสตร์ที่แท้จริง แต่ยังสะท้อนถึงความเป็นมนุษย์และความปรารถนาในสันติภาพของทหารกองโจร นอกจากนี้ยังมีคำชื่นชมจากผู้ชมทั่วโลกที่แสดงความเคารพต่อความกล้าหาญของเวียดนามในสงครามที่ยาวนานถึง 20 ปี
ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นผลงานภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยม แต่ยังเป็นเครื่องมือในการระลึกถึงความสำคัญของการต่อสู้เพื่ออิสรภาพและความเป็นอิสระของชาติ
เมื่อพิจารณาถึงเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ชมและผู้เชี่ยวชาญในวงการภาพยนตร์แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เพียงแค่เป็นการเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นสื่อกลางที่เชื่อมโยงความทรงจำของคนรุ่นเก่ากับความเข้าใจของคนรุ่นใหม่ ความสำเร็จนี้แสดงให้เห็นว่าภาพยนตร์ไม่เพียงแต่เป็นงานศิลปะ แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการบอกเล่าเรื่องราวของชาติและส่งมอบคุณค่าทางจิตใจแก่ผู้ชม