การเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืนในกองถ่ายภาพยนตร์ Avatar 2

หลังจากความสำเร็จของภาพยนตร์ Avatar ภาคแรกในปี 2009 ผู้กำกับระดับตำนานอย่าง เจมส์ คาเมรอน ได้กลับมาสร้างภาคต่อ Avatar 2 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้

ก้าวสู่ความยั่งยืนในกระบวนการสร้างภาพยนตร์

การใช้พลังงานสะอาด

ในกองถ่าย Avatar 2 เจมส์ คาเมรอน ได้วางแผนตั้งแต่ก่อนเริ่มถ่ายทำว่า จะใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลัก เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นับเป็นก้าวสำคัญในการลดผลกระทบจากกระบวนการสร้างภาพยนตร์ที่มักใช้พลังงานจำนวนมหาศาล

การลดขยะพลาสติก

ข้อมูลจาก Plastic Pollution Coalition ระบุว่า กองถ่ายภาพยนตร์หนึ่งเรื่องสร้างขยะพลาสติกมากถึง 347 ตัน ซึ่งมากกว่าจำนวนขยะพลาสติกที่ชาวอเมริกันทิ้งตลอดชีวิตถึง 3 เท่า ดังนั้น ในกองถ่าย Avatar 2 จึงมีการติดตั้งตู้กดน้ำให้นักแสดงและทีมงานใช้ร่วมกัน เพื่อลดการใช้ขวดน้ำพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ซึ่งสามารถประหยัดน้ำได้มากถึง 29,315,000 แกลลอน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนอีกจำนวนมหาศาล

การปลูกต้นไม้เพื่อชดเชยคาร์บอน

ในปี 2010 เจมส์ คาเมรอน ได้เรียกร้องให้ Fox Studios วางจำหน่าย DVD และ Blu-ray ของ Avatar ในวันที่ 22 เมษายน ซึ่งตรงกับวันครบรอบ 40 ปี Earth Day หรือ วันคุ้มครองโลก และผู้ที่ซื้อจะได้รับเชิญให้เข้าร่วมโครงการฟื้นฟูป่าด้วยการปลูกต้นไม้หนึ่งล้านต้นทั่วโลก ซึ่งเป็นการร่วมมือกับองค์กรการกุศลจากไอร์แลนด์อย่าง Hometree นั่นเท่ากับว่าแฟน ๆ สามารถอุดหนุนภาพยนตร์เรื่องนี้ ไปพร้อม ๆ กับการปลูกต้นไม้เพื่อโลกได้ในเวลาเดียวกัน

การสร้างความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม

ในปี 2019 เจมส์ คาเมรอน ได้สร้างภาพยนตร์สั้นเรื่อง Not Reality TV ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวว่า ชาวอเมริกันได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และสภาพอากาศอันเลวร้ายอย่างไร พืชผลที่เสียหายหนัก ราคาอาหารพุ่ง รวมถึงชีวิตบนความเสี่ยงของเด็ก ๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงสภาวะจริงของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้คนหลายล้านคนด้วยความมุ่งมั่นในการรักษาสิ่งแวดล้อม เจมส์ คาเมรอน จึงได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการสร้างภาพยนตร์ Avatar 2 ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานสะอาด การลดขยะพลาสติก การปลูกต้นไม้เพื่อชดเชยคาร์บอน และการสร้างความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งล้วนแต่เป็นแนวทางที่น่ายกย่องและอาจเป็นแบบอย่างให้กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์อื่น ๆ ต่อไป