ธุรกิจรถพ่วงแห่ในวิกฤต: เจ้าของกิจการเผชิญปัญหาจากมือดีสั่งปิดบัญชี

นายทินกร สาลีงาม เจ้าของกิจการทำรถพ่วงแห่ขนาดเล็กพร้อมติดลำโพง ได้เข้าร้องเรียนกับสื่อมวลชนว่า ตนเองถูกมือดีสั่งปิดบัญชีธนาคารโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ ขณะที่ตนเองยืนยันว่าไม่ได้ทำผิดกฎหมายแต่อย่างใด

ธุรกิจรถพ่วงแห่ในวิกฤต: เจ้าของกิจการเผชิญปัญหาจากมือดีสั่งปิดบัญชี

ธุรกิจรถพ่วงแห่ที่ต้องเผชิญกับความท้าทาย

นายทินกร สาลีงาม เจ้าของกิจการทำรถพ่วงแห่ขนาดเล็กพร้อมติดลำโพง ได้เล่าถึงความท้าทายที่ต้องเผชิญในการดำเนินธุรกิจ โดยระบุว่า ในแต่ละวันจะมีลูกค้าเข้ามาติดต่องานเป็นจำนวนมาก ทำให้ตนเองและลูกน้องคนเดียวต้องรีบเร่งในการให้บริการ จนบางครั้งไม่สามารถทำตามความต้องการของลูกค้าได้ทัน ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจจากลูกค้าบางราย ซึ่งกล่าวหาว่าตนเองหลอกลวงและรับเงินมัดจำไปแล้วไม่ยอมทำให้

ปัญหาการอายัดบัญชีธนาคาร

นายทินกร กล่าวว่า ล่าสุดได้มีมือดีสั่งอายัดบัญชีธนาคารของตนเองทั้ง 2 ธนาคาร ทำให้ไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ ซึ่งเงินจำนวนหนึ่งที่ตนเองต้องนำไปใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจก็ไม่สามารถเบิกออกมาใช้จ่ายได้ นายทินกร ยังระบุว่า ตนเองไม่ทราบว่าคนที่สั่งอายัดบัญชีของตนนั้นเป็นใคร และมีอำนาจอะไรที่ทำให้ธนาคารยอมให้ปิดบัญชีได้ เนื่องจากเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ตนเองได้มานั้น มาจากการทำรถพ่วงแห่และต่อตู้ลำโพงจำหน่ายให้กับลูกค้า ซึ่งไม่ได้ไปคดโกงใครมา

การถูกกล่าวหาและดิสเครดิต

นายทินกร เล่าว่า มีลูกค้ารายหนึ่งที่มาติดต่องานกับตน แต่กลับมาต่อว่าและกล่าวหาว่าตนเองเป็นคนหลอกลวงและฉ้อโกงประชาชน ซึ่งตนเองได้พยายามชี้แจงไปหมดแล้วว่าตนเองมีตัวตนและมีบ้านที่อยู่อาศัยอย่างมั่นคง ไม่เคยหลอกลวงใคร แต่ลูกค้ารายนั้นกลับทักแชตไปในกลุ่มต่างๆ เพื่อพยายามดิสเครดิตและโจมตีตนเอง ซึ่งตนเองก็ไม่ทราบว่ามาจากเหตุผลใด

การแสวงหาความเป็นธรรม

นายทินกร ระบุว่า ตนเองพร้อมที่จะนำหลักฐานต่างๆ ไปแจ้งความกับสถานีตำรวจเพื่อให้ดำเนินการกับบุคคลที่กล่าวหาและดิสเครดิตตนเอง นอกจากนี้ ตนเองยังขอร้องสื่อมวลชนให้ช่วยเผยแพร่ข่าวเพื่อให้ความเป็นธรรมกับตนเองและครอบครัว เนื่องจากมีชาวเน็ตบางส่วนเข้าใจในทางลบและชักชวนปลุกระดมมองว่าตนเป็นมิจฉาชีพ ซึ่งตนเองยืนยันว่าไม่ได้ทำผิดกฎหมายแต่อย่างใด