ตำรวจท่องเที่ยวภายใต้การนำของผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวได้ลงพื้นที่จริง เพื่อประเมินสถานการณ์และดำเนินมาตรการป้องกันเชิงรุก พร้อมทั้งประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความโปร่งใสและลดปัญหาการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว
กระบวนการเริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อมูลสถิติจากสายด่วน 1155 ซึ่งเป็นแหล่งหลักสำหรับการรับเรื่องร้องเรียนจากนักท่องเที่ยว ข้อมูลเหล่านี้นำมาใช้ในการประเมินจุดเสี่ยงและการวางแผนมาตรการป้องกัน เช่น พื้นที่ที่มีรายงานการเอารัดเอาเปรียบมากที่สุด และพฤติกรรมของผู้ประกอบการขนส่งที่อาจทำให้เกิดปัญหา
การวิเคราะห์ปัญหายังครอบคลุมถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศ การที่นักท่องเที่ยวรู้สึกไม่ปลอดภัยหรือถูกเอาเปรียบสามารถนำไปสู่ความเสียหายระยะยาวต่อภาคการท่องเที่ยว ดังนั้น การแก้ไขปัญหาจึงต้องอาศัยความเข้มแข็งและความรวดเร็วในการตอบสนอง
ตำรวจท่องเที่ยวได้จัดประชุมร่วมกับตัวแทนจากกรมการขนส่งทางบก กองบังคับการตำรวจจราจร และสถานีตำรวจนครบาลหลายแห่ง เพื่อออกแบบมาตรการร่วมกัน แนวทางนี้รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด การเฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยง และการประชาสัมพันธ์ให้กับนักท่องเที่ยวผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น ป้ายโฆษณาในแหล่งท่องเที่ยว
นอกจากนี้ ยังมีการสร้างระบบการสื่อสารที่รวดเร็วระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่นักท่องเที่ยวจะถูกเอารัดเอาเปรียบในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง
มาตรการเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ความพยายามในการแสดงออกถึงความเป็นเจ้าบ้านที่ดีจะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะปลายทางการท่องเที่ยวที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ
การดำเนินงานของตำรวจท่องเที่ยวในครั้งนี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โรคระบาด