ในช่วงเวลาที่ประเทศเวียดนามกำลังเตรียมตัวสำหรับการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของการปลดปล่อยภาคใต้และรวมชาติ เมื่อไม่นานมานี้ สหภาพข่าวเวียดนามได้จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้กับวีรบุรุษทางทหารอย่างโตวันดึ๊ก และทีมงานภาพยนตร์เรื่อง "Tunnels: Sun in the Dark" โดยเน้นไปที่การส่งเสริมคุณค่าของประวัติศาสตร์และการต่อสู้ของชาวเมืองกู๋จีในอดีต การพูดคุยหลังจากชมภาพยนตร์ได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการระลึกถึงอดีตและนำเรื่องราวเหล่านั้นมาเล่าใหม่เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่
ในช่วงบ่ายของวันที่ 21 เมษายน สถานที่หนึ่งในกรุงฮานอยได้เปิดฉากกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างวีรบุรุษทหารโทวันดึ๊กและกลุ่มนักสร้างภาพยนตร์จากผลงาน "Tunnels: Sun in the Dark" ซึ่งเป็นภาพยนตร์สงครามที่ผลิตโดยเงินทุนจากภาคเอกชนเท่านั้น โดยไม่มีการสนับสนุนจากรัฐบาล เป้าหมายของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับความกล้าหาญและความเข้มแข็งของประชาชนในเขตเหมืองแร่กู๋จีในช่วงสงคราม เรื่องราวนี้สะท้อนถึงการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยความเสียสละและความยากลำบาก
ภาพยนตร์ดังกล่าวได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ด้วยการแสดงที่สมจริงและเนื้อหาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก ในงานแลกเปลี่ยน รองเลขาธิการสหภาพเยาวชนเวียดนาม Cao Chu Dieu Linh ได้แสดงความคิดเห็นว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือในการบอกเล่าประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นแหล่งแรงบันดาลใจที่ทำให้คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงคุณค่าของการสันติภาพและความรับผิดชอบในการอนุรักษ์ประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์
โตวันดึ๊กเองในฐานะผู้มีประสบการณ์ตรงในสงครามได้แบ่งปันความรู้สึกซาบซึ้งใจหลังจากชมภาพยนตร์ แม้ว่าภาพยนตร์จะสามารถนำเสนอเพียงบางส่วนของความจริง แต่ก็สามารถสะท้อนจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของชาวเมืองกู๋จีได้อย่างชัดเจน ผู้กำกับ Bui Thac Chuyen ได้ใช้เวลา 11 ปีในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเผชิญกับความท้าทายมากมาย เช่น การถ่ายทำในสภาพแวดล้อมที่มืดมิดภายในอุโมงค์
ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก Nguyen Thanh Nam อดีต CEO ของ FPT ซึ่งหวังว่าจะเผยแพร่ประวัติศาสตร์การปฏิวัติของเวียดนามไปสู่สายตาของนานาชาติ
ด้วยเหตุนี้ ภาพยนตร์ "Tunnels: Sun in the Dark" ไม่เพียงแต่เป็นภาพยนตร์ธรรมดา แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงคนรุ่นใหม่กับอดีตที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ
การแลกเปลี่ยนในครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนรุ่นใหม่ในการทำความเข้าใจและรำลึกถึงความกล้าหาญของบรรพบุรุษ นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้เกิดการยอมรับและส่งเสริมประวัติศาสตร์ของประเทศในยุคปัจจุบัน
ในฐานะผู้สื่อข่าวและผู้อ่าน การได้เห็นว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นการนำเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นเครื่องมือในการเชื่อมต่อคนรุ่นใหม่กับอดีตที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมาก การที่เราสามารถรักษาและส่งต่อคุณค่าทางประวัติศาสตร์ผ่านสื่อใหม่ๆ เช่นภาพยนตร์ จะช่วยให้คนในยุคปัจจุบันตระหนักถึงความสำคัญของการสันติภาพและความรับผิดชอบของเราในฐานะผู้สืบทอดประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์