MYworldfix

โครงการด้านสุขภาพของไทยได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องจากแนวคิด "30 บาทรักษาทุกโรค" ที่เริ่มต้นในหกจังหวัดเมื่อปี 2545 เพื่อให้บริการแก่ผู้ที่ไม่มีหลักประกันสุขภาพ จนขยายครอบคลุมทั่วประเทศและกลายเป็นกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 รวมถึงการก่อตั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โครงการนี้ได้ขยายสิทธิประโยชน์หลากหลาย เช่น การคลอดบุตร การรักษาฟัน และการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคไต โดยเฉพาะการล้างไตผ่านหน้าท้อง การรักษาฉุกเฉินฟรีภายใน 72 ชั่วโมง และโครงการรักษามะเร็งทุกที่

การพัฒนาบริการสุขภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล

โครงการ "30 บาทรักษาทุกที่" ซึ่งใช้บัตรประชาชนใบเดียวในการรับบริการที่โรงพยาบาลทุกระดับในสี่จังหวัดนำร่อง ได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชาชน ทำให้เกิดการขยายบริการไปยังแปดจังหวัดในระยะที่สอง และหกเขตสุขภาพในระยะที่สาม จนครอบคลุม 45 จังหวัด ในที่สุดโครงการนี้ได้ครอบคลุมทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาล

การพัฒนานี้ได้ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของประชาชน ทำให้การเข้าถึงบริการทางการแพทย์สะดวกและรวดเร็วขึ้น ผู้ป่วยสามารถจองคิวด้วยแอปพลิเคชัน พบแพทย์ออนไลน์ และได้รับยาผ่านการขนส่งทางไปรษณีย์หรือไรเดอร์ นอกจากนี้ยังมีการเจาะเลือดที่บ้านสำหรับผู้ป่วยติดเตียง การยืมเครื่องล้างไตอัตโนมัติ และการตรวจคัดกรองโรคด้วยตนเอง เช่น การตรวจมะเร็งปากมดลูก และการติดเชื้อเอชไอวี

การปรับปรุงและการขยายบริการเพื่อความเท่าเทียม

รัฐบาลได้สร้างระบบที่ครอบคลุมมากขึ้น โดยมีการพัฒนาระบบบริการสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ การดูแลผู้ป่วยติดเตียง และการจัดตั้งสถานชีวาภิบาลทั่วประเทศ รวมถึงการสร้างตำแหน่ง Care Giver จำนวน 15,000 ตำแหน่ง เพื่อสนับสนุนกลุ่มคนที่กำลังหางานและผู้เกษียณที่ต้องการทำงานหารายได้

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการให้บริการสาธารณสุขที่จำเป็นและมีคุณภาพมาตรฐาน สปสช. ได้ร่วมกับ 7 สภาวิชาชีพทางการแพทย์ เพิ่มหน่วยบริการนวัตกรรม 13,000 แห่ง มีผู้รับบริการแล้วกว่า 6.5 ล้านคน หรือประมาณ 15 ล้านครั้ง นอกจากนี้ยังมีบริการนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น การแพทย์ทางไกล รถทันตกรรมเคลื่อนที่ และคลินิกเวชกรรมเชิงรุก การประกาศขับเคลื่อนระยะที่ 4 ทำให้โครงการ "30 บาทรักษาทุกที่" ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศตามนโยบายรัฐบาล