เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2568 เจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงาน รวมถึง DSI และตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ได้ร่วมมือกันจับกุมนายชวนหลิง จาง ที่โรงแรมย่านรัชดาภิเษก โดยปฏิบัติตามหมายจับศาลอาญาที่ 2389/2568 ซึ่งออกเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2568 ในข้อหากระทำการที่ฝ่าฝืนกฎหมายธุรกิจของคนต่างด้าว ทั้งนี้ นายชวนหลิง จาง ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในธุรกิจที่ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายไทย และยังเป็นตัวแทนของนิติบุคคลที่สนับสนุนการกระทำผิดดังกล่าว
การสอบสวนเบื้องต้นพบว่า นายชวนหลิง จาง ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยระบุว่าตนเองเป็นตัวแทนของรัฐวิสาหกิจจีน และมาทำงานในประเทศไทยในฐานะผู้บริหารเท่านั้น นอกจากนี้ เขายังยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการถือหุ้นแทนหรือพฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย โดยล่ามและทนายความของเขาอยู่ระหว่างรวบรวมเอกสารเพื่อชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติม
กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการกำกับดูแลธุรกิจของคนต่างด้าวในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการลงทุนจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ และลดความเสี่ยงจากการแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่ชอบธรรม
สำหรับภาคธุรกิจและการลงทุน การจับกุมในครั้งนี้อาจนำไปสู่การทบทวนนโยบายและมาตรการกำกับดูแลให้ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อป้องกันการละเมิดกฎหมายในอนาคต นอกจากนี้ ยังสามารถส่งเสริมความโปร่งใสและความรับผิดชอบของนิติบุคคลที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย
ณ ขณะนี้ นายชวนหลิง จาง ยังไม่ได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวในชั้นสอบสวน โดยเจ้าหน้าที่มีอำนาจควบคุมตัวเขาภายในระยะเวลา 48 ชั่วโมง หากการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ จะต้องนำตัวไปฝากขังต่อศาลอาญาในวันถัดไป ทั้งนี้ การดำเนินคดีในข้อหาความผิดฐานนอมินีสามารถขยายเวลาฝากขังได้สูงสุดถึง 48 วัน หรือ 4 รอบการพิจารณา
การพิจารณาคดีในศาลจะเป็นโอกาสสำคัญในการประเมินหลักฐานและความสมบูรณ์ของการสอบสวน นอกจากนี้ ศาลยังมีหน้าที่พิจารณาสิทธิของผู้ต้องหาตามกฎหมายระหว่างประเทศและมาตรฐานสากล เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปอย่างเป็นธรรม
จากการสอบสวนเพิ่มเติมพบว่า นายชวนหลิง จาง มีความสัมพันธ์กับนายบินลิง วู ซึ่งเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างอาคารใหม่ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่านายบินลิง วู มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 แต่ก็พบความเชื่อมโยงผ่านบุคคลสามคนที่เป็นกรรมการบริษัทในหลายแห่ง
การตรวจสอบความเชื่อมโยงเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการประเมินความผิดของบุคคลที่เกี่ยวข้อง และอาจนำไปสู่การขยายขอบเขตของการสอบสวนเพื่อครอบคลุมประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนระหว่างประเทศในประเทศไทย