โตโยต้าเป็นหนึ่งในบริษัทยานยนต์ที่มีความสำคัญในประเทศไทย. การกระทบของ “สงครามราคารถ” มีผลต่อหลายด้านของบริษัท เช่น โซ่อุปทานอุตสาหกรรมยานยนต์ และลูกค้าที่ต้องการความคุ้มค่าในการใช้งานรถยนต์ในอนาคต.
ผลกระทบของ “สงครามราคารถ” บริษัท โตโยต้า
ผลกระทบต่อโซ่อุปทานอุตสาหกรรมยานยนต์
โตโยต้ามองการทำ “สงครามราคารถ” จะกระทบห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างมาก. ผู้ผลิตรถ, ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถ, ลีสซิ่ง, ประกันภัย, อู่ซ่อมรถ และร้านประดับยนต์ सभ皆ถูกกระทบ. การลดราคาในระดับของรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อรถยนต์เพื่อรอการลดราคา. แม้ว่าผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมีศักยภาพการแข่งขันค่อนข้างสูง แต่โตโยต้าไม่ได้ต้องการลงไปแข่งขันในตลาดดังกล่าวเพราะยังคำนึงถึงห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมยานยนต์.ผลกระทบต่อลูกค้า
ลูกค้าซื้อรถยนต์ไปใช้คงจะใช้มากกว่า 10 ปี. การบริหารหลังขายโปรแกรมด้านการเงินจากสถาบันการเงินเป็น Value chain สำคัญที่จะสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นกับลูกค้า. โตโยต้าประกาศว่าจะผลิตและจำหน่ายรถปิกอัพ BEV ในปลายปีหน้า ซึ่งเป็นความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง. เราคิดว่าผู้บริโภคจะเป็นผู้เลือกว่าเทคโนโลยีไหนจะเหมาะสม. โตโยต้าสามารถขาย HEV มียอดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น 40% ในขณะที่รถ BEV มียอดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น 1%. นumeric ทั้งสองนี้คงจะเป็นข้อพิสูจน์ในการเลือกเทคโนโลยีของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี.ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
มิสเตอร์โนริอากิกล่าวว่าภาพรวมสถานการณ์ยานยนต์ในปัจจุบันค่อนข้างมีความยากลำบาก. การผลิตและจำหน่ายรถยนต์ในประเทศลดลง แต่ยอดส่งออกยังคงทรงตัว. ด้วยเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น GDP ในไตรมาสที่ 3/67 มีการขยายตัว 3% และการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25 % ของธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะทำให้สถานการณ์ค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นอุตสาหกรรมยานยนต์มีส่วนช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง.โตโยต้าได้สร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน มีรถยนต์จากพลังงานต่างๆ ให้เลือกมากมาย ไม่ได้จำกัดแค่ BEV แต่ยังมีรถ HEV, PHEV รวมถึงรถยนต์ที่ใช้พลังงานหมุนเวียน. รถปิกอัพเป็นเสาหลักของโตโยต้า ซึ่งจะพัฒนารถปิกอัพไฟฟ้า BEV ใหม่ออกมาให้ได้ดีตอบรับความต้องการของลูกค้า โดยการนำไปใช้ในโครงการรถสองแถวโครงการหนึ่ง เพื่อเก็บข้อมูลเพื่อใช้ประโยชน์ในการศึกษาด้านการใช้งานต่อไป.ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 ถึงแม้ว่ายอดการผลิตโดยรวมของโตโยตาจะลดลง แต่ยอดการส่งออกที่ยังคงทรงตัว และยอดการจำหน่ายในประเทศที่ลดลงร่วม 20% เมื่อเปรียบเทียบกับปี พ.ค. 2562 เช่นเดียวกับการหดตัวของตลาดในประเทศ. เมื่อรวมกับยอดส่งออกแล้ว โตโยตาได้รับผลกระทบเพียงครึ่งหนึ่ง คือมียอดการผลิตที่ลดลงเพียง 10 % เท่านั้น และยอดการจำหน่ายในประเทศทั้งหมดที่ระดับไม่เกิน 600,000 คันนี้ ถือว่าต่ำมาก.