BYD ผงาดแบรนด์รถอันดับ 7 ของโลก หลังยอดขายแซงฮอนด้า-นิสสันครั้งแรก

Aug 26, 2024 at 2:09 PM
BYD แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจีนกำลังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการยานยนต์

BYD กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีนและก้าวสู่อันดับที่ 7 ของโลก

จากรายงานล่าสุด BYD สามารถกวาดยอดขายรถยนต์ใหม่ในไตรมาสที่ 2 ปี 2023 ทะลุ 980,000 คัน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สามารถแซงหน้าบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นอย่างฮอนด้าและนิสสัน และทำให้บริษัทก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับที่ 7 ของโลก

BYD พุ่งสู่ความเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจีน

ความสำเร็จของ BYD ในไตรมาสที่ 2

จากรายงานของนิกเกอิ ระบุว่า ยอดขายรถใหม่ของ BYD ระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายน พุ่งขึ้นถึง 40% เป็น 980,000 คัน แซงหน้ายอดขายของค่ายรถยนต์ชั้นนำระดับโลกอย่างฮอนด้าและนิสสันเป็นครั้งแรก ส่งผลให้ BYD ขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ 7 ของโลก จากเดิมที่อยู่อันดับที่ 10 ด้วยยอดขาย 700,000 คันในไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ปัจจัยสู่ความสำเร็จของ BYD

ความสำเร็จของ BYD มาจากหลายปัจจัย ทั้งการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาจับต้องได้ ควบคู่กับการลดราคาต่อเนื่อง และการเปิดตัวรุ่นใหม่ๆ ที่มีราคาถูกลง โดยรุ่นที่ถูกที่สุดคือ Seagull ที่มีราคาเริ่มต้นเพียง 9,700 ดอลลาร์ (323,000 บาท) ในประเทศจีน นอกจากนี้ BYD ยังมีการขยายตลาดไปยังต่างประเทศมากขึ้น โดยในไตรมาสที่ผ่านมามียอดขายนอกจีนถึง 105,000 คัน คิดเป็นสัดส่วนราว 4% ของยอดส่งออกรถยนต์จีนทั้งหมด 2.79 ล้านคัน หรือเกือบ 3 เท่าของยอดขายในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว

การสยายปีกของ BYD ไปทั่วโลก

ความแข็งแกร่งของ BYD ไม่เพียงแต่ในตลาดจีนเท่านั้น บริษัทยังได้ขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ เช่น เม็กซิโก บราซิล ญี่ปุ่น ยุโรป ไทย และประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยปัจจุบัน BYD ได้กลายเป็นแบรนด์อีวีชั้นนำในตลาดระดับโลกความคึกคักของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในยุคนี้ ทำให้บริษัทรถยนต์ชั้นนำระดับโลกอย่างโฟล์คสวาเกนและโตโยต้า มียอดขายที่ลดลงในไตรมาสล่าสุด ในขณะที่ BYD และเทสลายังคงมียอดขายที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยโตโยต้าเป็นเพียงค่ายญี่ปุ่นเดียวที่ทำยอดขายได้มากกว่า BYD

การไล่จี้คู่แข่งของ BYD

หลังจากที่ BYD สามารถแซงหน้าฮอนด้าและนิสสันในไตรมาสที่ผ่านมาไป บริษัทนี้ก็กำลังเร่งเดินหน้าไล่จี้ค่ายรถเก่าแก่อื่นๆ ที่รวมถึงฟอร์ด มอเตอร์ และอีก 2 บริษัทในก๊วนบิ๊กทรีของอเมริกา โดยเฉพาะฟอร์ดที่ล่าสุดได้เลื่อนการเปิดตัวรถไฟฟ้าหลายรุ่นออกไปจนถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2027 หรือล่าช้ากว่าเดิม 2 ปี และยกเลิกแผนพัฒนา SUV ไฟฟ้า 3 แถวเพื่อมาโฟกัสที่รถไฮบริดแทน ซึ่งจะเป็นโอกาสให้คู่แข่งอย่างเกียและวอลโว่เข้ามาเสียบแทนในเซ็กเมนต์นี้ขณะที่ BYD มีแผนการเข้าไปตีตลาดรถยนต์ในแคนาดา และตั้งโรงงานผลิตรถในเม็กซิโกเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 150,000-400,000-500,000 คัน

แนวโน้มของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า

แม้ว่าจะมีข่าวระยะหลังว่ากระแสรถยนต์ไฟฟ้าจะเริ่มชะลอตัว แต่ในความเป็นจริง ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ายังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ความนิยมในรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปกลับกำลังลดลง ดังนั้นผู้ผลิตที่ไม่สามารถปรับตัวตามกระแสนี้ได้ทัน จึงเป็นผู้ที่เสียส่วนแบ่งตลาดไป ขณะที่บริษัทอีวีชั้นนำอย่าง BYD และเทสลากำลังผงาดขึ้นมาเป็นแบรนด์รถชั้นนำระดับโลก

อนาคตของ BYD และคู่แข่งระดับโลก

จากความแข็งแกร่งของ BYD ในช่วงที่ผ่านมา มีการคาดการณ์ว่าบริษัทรถยนต์จีนแห่งนี้อาจกลายเป็นคู่แข่งที่ยากต่อการแข่งขันสำหรับแม้กระทั่งบริษัทรถยนต์ระดับโลกอย่างฟอร์ด โดยฟอร์ดเพิ่งประกาศว่าจะหันไปโฟกัสกับการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กและราคาถูกลง เพื่อแก้ปัญหาการขาดทุนจากการลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้า ในขณะที่รายงานล่าสุดระบุว่า BYD มีรายได้กว่า 15,000 ดอลลาร์จากการขาย Seal U ในยุโรป ซึ่งแสดงถึงศักยภาพของบริษัทในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมในตลาดระดับโลก