ในการเดินทางของการรักษาโรคมะเร็งปอด การวินิจฉัยเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญยิ่ง ผู้ป่วยชายวัย 70 ปี ได้เข้ามาในโรงพยาบาลด้วยอาการที่ไม่น่าสงสัย เช่น น้ำหนักลดและเบื่ออาหาร แต่ไม่มีอาการไอหรือไข้ การตรวจเลือดเผยให้เห็นระดับมาร์คเกอร์มะเร็ง CEA ที่สูงผิดปกติ และการตรวจภาพเอกซเรย์ปอดพบความผิดปกติที่น่าสนใจ การตรวจด้วยคอมพิวเตอร์ปอดเพิ่มเติมได้เปิดเผยก้อนเนื้อที่มีขนาดใหญ่ในปอดซ้าย ซึ่งการตรวจชิ้นเนื้อและการวิเคราะห์ทางพยาธิวิทยาได้ยืนยันว่าเป็นมะเร็งปอดชนิด adenocarcinoma
การตรวจสอบยีนกลายพันธุ์และการทดสอบ PD-L1 ไม่ได้เปิดโอกาสใหม่ๆ สำหรับการรักษา และการสแกน PET ได้เผยให้เห็นว่ามะเร็งได้กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองและกระดูกต้นขา ซึ่งเป็นสัญญาณของการแพร่กระจายของโรคที่รุนแรง
ด้วยการวินิจฉัยที่ชัดเจน แต่ทางเลือกในการรักษากลับมีจำกัด การผ่าตัดไม่ใช่ทางเลือกเนื่องจากขนาดและการกระจายของมะเร็ง ยามุ่งเป้าและยาภูมิคุ้มกันบำบัดก็ไม่สามารถใช้ได้เนื่องจากผลการทดสอบทางพันธุกรรมและโปรตีน PD-L1 ที่ไม่เอื้ออำนวย ทางเลือกสุดท้ายที่เหลือคือการใช้ยาเคมีบำบัด ซึ่งผู้ป่วยได้รับการรักษาเป็นเวลา 6 เดือนและมีการตอบสนองที่ดีในช่วงแรก
อย่างไรก็ตาม การตอบสนองต่อการรักษาไม่ได้ยั่งยืน ผู้ป่วยเริ่มมีอาการหอบเหนื่อยมากขึ้น และการตรวจเลือดล่าสุดพบว่าระดับ CEA ได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ภาพเอกซเรย์ปอดยังเผยให้เห็นการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังทั้งสองข้างของปอด ส่งผลให้ผู้ป่วยต้องได้รับออกซิเจนแรงดันสูงผ่าน High-Flow Nasal Cannula และการให้สเตียรอยด์เพื่อบรรเทาอาการ
เมื่อเวลาผ่านไป อาการของผู้ป่วยเริ่มทรุดหนัก และการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดไม่สามารถควบคุมโรคได้อีกต่อไป การหายใจที่ลำบากและความเหนื่อยหอบที่เพิ่มขึ้นทำให้ผู้ป่วยต้องพึ่งพาออกซิเจนเป็นอย่างมาก และการตรวจวัดระดับออกซิเจนที่ปลายนิ้วพบว่ามีค่าต่ำอย่างน่าวิตก
แพทย์และทีมการแพทย์ได้พิจารณาถึงสถานการณ์อย่างรอบคอบและได้มีการพูดคุยกับญาติและผู้ป่วยเกี่ยวกับทางเลือกในการรักษาที่เหลือ โดยมุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการและการยุติความทุกข์ทรมานในช่วงเวลาสุดท้าย
การตัดสินใจที่ยากลำบากในการยุติการรักษาและเน้นไปที่การบรรเทาอาการเป็นสิ่งที่ทั้งผู้ป่วยและครอบครัวต้องเผชิญ หลังจากการพิจารณาอย่างละเอียดและการสนทนาที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ ทุกฝ่ายได้ตกลงที่จะให้การรักษาที่เน้นการบรรเทาอาการ โดยใช้ยากลุ่มมอร์ฟีนและยานอนหลับที่ให้ผ่านทางหลอดเลือดดำอย่างต่อเนื่อง
การให้ยาเหล่านี้ได้ช่วยให้ผู้ป่วยมีความสบายมากขึ้นและสามารถหลับได้อย่างสงบ ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการจากไปอย่างมีความสุขและไม่มีความทุกข์ทรมาน
ในที่สุด หลังจากการดูแลอย่างใกล้ชิดและการให้ยาที่เหมาะสม ผู้ป่วยได้หลับไปอย่างสงบ โดยไม่มีอาการทุกข์ทรมาน การจากไปอย่างสงบนี้ไม่เพียงแต่เป็นการปลดปล่อยผู้ป่วยจากความเจ็บปวด แต่ยังเป็นการให้ความสบายใจแก่ครอบครัวที่ได้เห็นคนที่พวกเขารักได้จากไปอย่างมีเกียรติและไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน
เรื่องราวนี้เป็นการเตือนใจถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยและครอบครัวในการตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษา และความจำเป็นในการให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตในช่วงเวลาสุดท้าย